วันนี้นิคขอพาทุกคนมาดูสถิติที่สำคัญในระบบสาธารณสุขไทยกันค่ะ
.
🧑🏻⚕️ทุกคนเคยรอคิวหมอนานที่สุดกี่ชั่วโมงคะ❓
แน่นอนว่าคงมีหลายคำตอบที่หลากหลาย
แต่สำหรับใครที่อยากเห็นตัวเลขชัดๆ
👇🏻นี่คือสถิติสำรวจว่า คนไทยใช้เวลารอหมอกี่ชั่วโมงกันบ้าง
.
46.22% ของคนไทยต้องรอคิวหมอนานถึง 5-8 ชั่วโมง
32.25% รอคิวหมอ 2-5 ชั่วโมง
13.47% รอนานมากกว่า 8 ชั่วโมง
และ 8.60% ใช้เวลาน้อยกว่า 2 ชั่วโมงค่ะ
.
🚩สิ่งที่น่าสนใจ คือ ตัวเลข 46.22% ที่เกือบเป็นครึ่งหนึ่งของผลสำรวจ
และอีก 13.47% คือคนที่ใช้เวลารอตรวจในโรงพยาบาล
มากกว่า 8 ชั่วโมงด้วยกัน!
โอ้โห เทียบเท่ากับการนั่งเครื่องบินไปเที่ยวต่างประเทศได้เลยค่ะ
แล้วอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ของไทย
ต้องรอ “คิวตรวจรักษา” นานขนาดนั้น?
.
🏥จากการสำรวจของแพทยสภาในปี 2565
พบว่าในปัจจุบันมีหมอในประเทศ 68,642 คน
ฟังดูเหมือนเยอะใช่ไหมคะ?
แต่จริงๆ แล้วแพทย์จำนวนเท่านี้ไม่เพียงพอเลย
กับจำนวนประชากรที่เข้ามาใช้บริการ
ซึ่งในปี 2560 ผลสำรวจพบว่า
ประชากรที่เข้ามาตรวจภายในโรงพยาบาล
ทั้งเอกชนและรัฐบาลอยู่ที่ 61.64 ล้านคนเลยทีเดียวค่ะ
ในอีกแง่หนึ่งก็คือ
จำนวนผู้ป่วยนอกที่เข้ารับการรักษาพยาบาลมากถึง 300 ล้านครั้ง/ปี
.
🟠อ่านถึงตรงนี้ทุกคนคงไม่แปลกใจเลยใช่ไหมคะ
ว่าจำนวนแพทย์เพียงหลักหมื่น
จะสามารถรองรับคนป่วยกว่า 60 ล้านคนได้อย่างไร
ซึ่งผลสำรวจยังชี้ด้วยค่ะว่า
ในปี 2560 หมอ 1 คนต้องเข้ารับการรักษาคนไข้กว่า 1,250 คน
อีกทั้งยังมีปัญหาในเรื่องของการที่แพทย์
ไม่สามารถกระจายไปทั่วประเทศได้อย่างทั่วถึง
และมากเพียงพอที่จะรองรับประชากรในพื้นที่นั้นๆ ด้วย
.
เช่น โรงพยาบาล A ที่อยู่ต่างจังหวัด
อาจมีแพทย์เพียง 20 คน
เมื่อเทียบกับโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ที่มีแพทย์เยอะกว่า
ค่าหารเฉลี่ยนต่อประชากร 1 คนก็จะน้อยลง
ในขณะที่แพทย์ในพื้นที่ห่างไกลก็ต้องรองรับจำนวนคนป่วยมากขึ้น
.
🚩สถิติที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ
แพทย์ในปัจจุบัน นอกจากจะรองรับคนไข้ 1:1,250 แล้ว
เฉลี่ยจะต้องเข้าตรวจรักษาให้คนไข้กว่า 100 คน
ซึ่งจากผลสำรวจรายงานค่ะว่า
ร้อยละ 60 ของแพทย์ทำงานมากกว่า 12 ชั่วโมง/วัน
และกว่าร้อยละ 90 ต้องยังทำงานและเข้าเวรอยู่ทั้งๆ ที่ตนเองป่วยอีกด้วยค่ะ
.
จากภาพรวมทั้งหมดที่ทั้งแพทย์ไม่พอ
และคนไข้มีจำนวนล้นโรงพยาบาล
ส่งผลให้ 90% ของแพทย์ประสบปัญหาใหญ่ค่ะ
นั่นคือ การวินิจฉัยผิดพลาดเพราะเหตุจากการพักผ่อนไม่เพียงพอนั่นเอง
.
☠️สอดคล้องกับทางสถิติที่บอกว่า
อัตราการตายของประชากรไทยเพิ่มมากขึ้น
จากปีก่อนหน้าเพิ่มขึ้นถึง 20%
มีแม่ที่เสียชีวิตขณะคลอดในปี 2544 เพียง 13 ต่อแสนคน
ในขณะที่ปี 2564 มีแม่ที่เสียชีวิตขณะตลอดมากถึง 26 ต่อแสนคนเลยค่ะ
.
และอย่างที่ทุกคนทราบกันดีนะคะ
ว่าในปัจจุบันประเทศไทยเราได้เข้าสู่
“สังคมผู้สูงอายุสมบูรณ์” เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งก็คือมีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20%
คิดเป็นจำนวนประชากรกว่า 12.8 ล้านคนเลยค่ะ
.
👵🏻แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงตามมาก็คือ
ประชากรสูงวัยภายในประเทศของเราส่วนใหญ่
เป็นผู้สูงอายุที่สุขภาพไม่แข็งแรงเลยค่ะ
อีกทั้งข้อมูลจากกระทรวงสาธารณะสุขยังเปิดเผยค่ะว่า
98% ของประชากรไทย
มีความรู้ทางด้านสาธารสุขไม่เพียงพอ
ทำให้ไม่สามารถดูแลตัวเองในเบื้องต้นได้นั่นเอง
.
🔵โดยกรมสุขภาพจิตสาธารณสุขรายงานค่ะ ว่า
ในปี 2564 มีผู้ป่วย 37 คนต่อชั่วโมง
หรือราวๆ 320,000 ต่อปีเลยค่ะ
ที่เสียชีวิตด้วยกลุ่มโรค NCDs หรือกลุ่มโรคที่ไม่ติดต่อเรื้อรัง
ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ชีวิตประจำวันทั้งสิ้น
โดยเรียงลำดับสถิติการป่วยเป็นโรค ดังนี้ค่ะ
.
✅อันดับหนึ่ง: โรคความดันโลหิตสูง 13 ล้านคน
✅อันดับสอง: โรคเบาหวาน 3.3 ล้านคน
✅อันดับสาม: โรคทางเดินหายใจอุดกั้น 700,000 คน
✅อันดับสี่: โรคหัวใจขาดเลือด 326,946 คน
✅อันดับห้า: โรคหลอดเลือดสมอง 28,000 คน
ผลการสำรวจของแต่ละโรคอยู่ระหว่างปี 2560-2562
.
🔴ทุกคนคงเห็นแล้วใช่มั้ยคะ?
ว่าปัญหาของระบบสาธารณสุขนั้น
ถูกสะสมทบยอดกันมาตั้งแต่รากไปจนถึงปลาย
ดังนั้นหากเราจะต้องแก้ปัญหา
การแจกเงินหรือแค่ใช้ 30 บาทอย่างเดิม
อาจไม่เพียงพออีกต่อไปที่จะทำให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้น
.
🔺จากสถิติที่นิคได้บอกไปแล้วด้านบนว่า
มีผู้ป่วยนอกที่เข้ารับการรักษากว่า 300ล้านครั้ง/ปี
นั่นจึงทำให้หมอกว่าร้อยละ 60 ต้องทำงานมากกว่า 12 ชั่วโมง
.
🚩ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป
📣เราจะยกระดับ 30 บาทไปสู่ “30 บาทพลัส”‼️
.
“พลัส” ที่ว่านี้คืออะไร❓
คือการที่เราจะใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในระบบสาธารณสุขค่ะ
โดยจะสร้างเป็นระบบ Chat bot หรือ ChatGPT
ให้เข้ามาเป็น “Mobile Doctor”
สำหรับการคัดกรองผู้ป่วยเบื้องต้นตลอด 24 ชั่วโมง
.
แทนที่คนป่วยไม่ว่าจะเป็นหนัก-เบาก็ต้องไปออกันที่โรงพยาบาล
แต่นับจากนี้จะเปลี่ยนไปค่ะ
เพราะเบื้องต้นสามารถเข้าไปใช้แอปฯ สแกนโรคได้
โดยบอกอาการแก่ Chat bot ที่ทำหน้าที่เป็นหมอส่วนตัวได้เลย
หากวินิจฉัยออกมาเป็นโรคธรรมดา
ทางระบบจะจัดส่ง QR Code ให้ท่านสแกนรับยาได้ที่ร้านขายยาใกล้บ้าน
และจ่ายค่ายาเพียงแค่ 30 บาทเหมือนเดิม
.
แต่ในกรณีที่หากวินิจฉัยกับ Mobile Doctor แล้ว
ค้นพบว่าเป็นโรคที่ต้องได้รับการตรวจต่อไป
ทาง Chat bot จะจัดการนัดหมอเฉพาะทางให้เรียบร้อย
ไม่ต้องเหนื่อยรอคิวอีก 8 ชั่วโมงที่โรงพยาบาลแน่นอน
.
โดย ChatGPT ตัวนี้ที่เราจะดึงเข้ามาใช้งาน
เป็นระบบ AI ที่ได้สอบทางการแพทย์จากทางสหัฐอเมริกา
และมีใบประกอบวิชาชีพแพทย์เป็นของตัวเองด้วยค่ะ
ดังนั้นจึงรับประกันได้ว่า ทำงานได้ไม่ต่างจากหมอตัวเป็นๆ แน่นอน
.
เพราะสิทธิการรักษาพยาบาลที่ดี
ควรเข้าถึงได้ทุกคนอย่างเท่าเทียม
แค่มี 30 บาทพลัส
พลัสทุกอย่างให้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
ผลักดันระบบสาธารณสุขไทยสู่สังคม well-being อย่างยั่งยืน