ได้เวลาทำความรู้จัก "สุวดี พันธุ์พานิช" คลื่นลูกใหม่จาก "ไทยสร้างไทย" - ดร.นิค dr.nick สุวดี พันธุ์พานิช dr.suwadee

ได้เวลาทำความรู้จัก “สุวดี พันธุ์พานิช” คลื่นลูกใหม่จาก “ไทยสร้างไทย”

“ดร.สุวดี พันธุ์พานิช” ดร.นิค คลื่นลูกใหม่แห่งพรรคไทยสร้างไทย ขออาสา “สร้างสังคมอุดมสุขภาพ” สำหรับคนไทยในยุค 2023 หัวหน้าพรรคเอ่ยชม ถอดแบบ เป็นร่างโคลนนิ่งของตัวเองเลยทีเดียว

มาร่วมเปิดมุมมอง เผยแนวคิดผู้หญิงเก่งอีกคนที่น่าสนใจในยุค 2023 จำชื่อนี้ไว้ให้ดี “ดร.สุวดี พันธุ์พานิช” ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 คลื่นลูกใหม่จากพรรคไทยสร้างไทย อาสาปักหมุดสร้าง “สังคมอุดมสุขภาพ” ให้คนไทย เธอคนนี้ถือว่าเป็นอีกคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตาจาก “พรรคไทยสร้างไทย”ที่ชื่อเสียงและความสามารถกำลังโดนสปอร์ตไลฟ์ส่องมากที่สุดคนหนึ่ง

หัวหน้าพรรคเอ่ยชมสนั่นโซเชียล

“ดร.นิค” หรือ “สุวดี พันธุ์พานิช” ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เขต 1 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคถึงกับออกปากชมว่า “ดร.นิค” เธอคนนี้ถอดแบบ เป็นร่างโคลนนิ่งของตัวเองเลยทีเดียวเพราะชื่นชอบในความสามารถและมองเห็นแววจึงออกปากทาบทามชวนมาทำงานร่วมกับพรรค ปัจจุบัน เธอเป็นกรรมการบริหารและคณะทำงานด้านสาธารณสุขของพรรคด้วย

ดร.สุวดี หรือ ดร.นิค จบปริญญาเอก สาธารณสุขศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันเธอเป็นกรรมการบริหาร บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป พ่วงด้วยตำแหน่ง Chief PPP (Public Private Partnership) Business ซึ่งเป็นธุรกิจความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนที่ดำเนินการสร้างศูนย์หัวใจให้กับโรงพยาบาลรัฐที่ไม่มีศูนย์หัวใจ ครอบคลุมถึงการดูแลจัดหาอุปกรณ์ เจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ เปิดรับรักษาคนไข้ “สิทธิบัตรทอง” แบบไม่เก็บค่าใช้จ่าย

เมื่อความสำเร็จที่ได้รับยังไม่ใช่ “คำตอบสุดท้าย” ของคำถามที่เธอกำลังมองหา

“จากสถานการณ์ช่วงโควิดที่ผ่านมารวมถึงการพัฒนาโมเดลรัฐร่วมเอกชน ทำให้เราเห็นว่ามีทั้งอุปสรรคและโอกาสแต่ท้ายที่สุดแล้ว โมเดลไหนที่ประชาชนจะได้ประโยชน์มากที่สุดโดยที่รัฐไม่เสียประโยชน์

ที่ผ่านมาการทำงานโรงพยาบาลนั้นเราสามารถช่วยสุขภาพคนให้ดีขึ้นได้ปีละ 100,000 คนแต่ถ้ามันสามารถเปลี่ยนเป็นช่วยให้คนไทย 60-70 ล้านคนมีสุขภาพที่ดีได้จะดีกว่าไหม?”

ความคิดนี้กลายเป็นตัวผลักดันสำคัญที่ทำให้ “ดร.สุวดี” ก้าวเข้ามาสู่สนามเลือกตั้งปี 2566 อย่างมุ่งมั่น

“นิคใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองในเรื่องของธุรกิจว่า เราทำได้ วันนี้เดินมาถึงจุดที่อยากจะแบ่งปันสิ่งที่เรามีให้กับสังคมเพราะถ้าเรายังไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องนั้นนิคก็คงจะไม่กล้าพูด ไม่กล้าไปบอกให้คนอื่นทำเพราะนั่นหมายถึงการเอาประชาชนหรือผู้คนไปเสี่ยง”

“เมื่อคุณหญิงสุดารัตน์ซึ่งเป็นไอดอลของเรา เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำงานหนักด้านสาธารณสุขมาตลอด หยิบยื่นโอกาสชวนให้มาทำงานด้วยในวันที่เราพร้อมทั้งในเรื่องของประสบการณ์และหน้าที่การงานจึงเป็นโอกาสเป็นจังหวะที่ดี”  

ย้อนอดีตบนเส้นทางการทำงาน

หากพูดถึงงานการเมืองแล้ว “ดร.สุวดี” ไม่ใช่มือใหม่เธอคลุกคลีสั่งสมประสบการณ์ในแวดวงนี้มาตลอดช่วง 12 ปีที่ผ่านมา หลังจากจบนิเทศศาสตร์มหาบัณฑิต จากรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เธอได้สมัครเข้าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยทางภาคเหนือซึ่งเป็นบ้านเกิด

ก่อนจะถูกทาบทามให้เข้ามาเป็นหนึ่งในคณะทำงานของ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตรองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จึงได้มีโอกาสพบกับ นายแพทย์บุญ วนาสิน ซึ่งดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาคณะทำงานจึงได้ถูกทาบทามให้ทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยส่วนตัวของนายแพทย์บุญ 

ในช่วงนี้เองทำให้เธอมีโอกาสได้ทำงานการเมืองและธุรกิจไปพร้อมกัน กระทั่งมีการเปลี่ยนตัวรองนายกฯ ก็ได้รับโอกาสให้มาทำงานเป็นผู้ช่วยของนายโภคิน พลกุล ซึ่งกลายเป็นอาจารย์ที่สอนทักษะทั้งในเรื่องของกฎหมายและการเมืองให้ กระทั่งเกิดรัฐประหารปี 2557 เธอจึงลดบทบาททางการเมืองลงและเพิ่มบทบาททางธุรกิจมากขึ้น

พรรคไทยสร้างไทย ภายใต้การนำทัพของคุณหญิงสุดารัตน์นั้น มีหลายเรื่องที่ต้องการผลักดันให้เกิดขึ้น เริ่มจากการปลดล็อกกฎและระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางให้ประชาชนทำมาหากินได้ จากนั้นรัฐต้องเสริมแรง ( Empower) ให้กับประชาชนให้กับผู้ประกอบการที่ขาดเงินทุนเข้าไปช่วยเหลือในเรื่องเหล่านั้นให้เกิดความสะดวกสบาย ผลักดันกฎหมายที่ทำให้คนตัวเล็กตัวน้อยได้มีโอกาสยืนได้ด้วยตัวเอง 

ที่สำคัญที่สุด คือ เรื่องของสุขภาพประชาชนโดยการสร้างสังคมอุดมสุขภาพ หรือ wellbeing Society ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐทำคนเดียวไม่ได้ ทุกคนทุกภาคส่วนมีหน้าที่และความรับผิดชอบร่วมกันในการสร้างสุขภาพที่ดี เช่น การเพิ่มภาษีสำหรับผู้ประกอบการที่ขายอาหารที่ทำให้ประชาชนเสียสุขภาพ ตรงกันข้ามผู้ประกอบการรายใดที่ขายผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพก็จะได้รับการสนับสนุน เป็นต้น

รวมถึงเรื่องของสุขภาพผู้สูงอายุเพราะประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยโดยทางพรรคมีโครงการบำนาญ 3,000 บาทเพื่อสร้างสุขภาพให้กับผู้สูงอายุ ลดภาระลูกหลาน และมีรายได้เพียงพอสำหรับการยังชีพ เป็นการคืนศักดิ์ศรี คืนสุขภาพจิตและสุขภาพกายให้กับผู้สูงอายุ 

“สำหรับตัวนิคเองมีความตั้งใจจริงๆ ที่จะแบ่งปันประสบการณ์และสิ่งที่มีอยู่ อยากมีส่วนสำคัญในการผลักดัน “สร้างสังคมอุดมสุขภาพ” เพื่อให้ทุกคนได้มีสุขภาพดี อยากให้เชื่อมั่นในตัวคุณหญิงสุดารัตน์ ซึ่งเคยทำโครงการ 30 บาทสำเร็จมาแล้วเชื่อมั่นว่า โครงการบำนาญ 3,000 บาทสำหรับผู้สูงอายุนี้คุณหญิงทำได้อย่างแน่นอน” 

ชวนคอข่าวเนชั่นออนไลน์ ย้อนวันวาน กลับไปในช่วงที่ข่าวการนำเข้า “วัคซีนโควิด-19” ของนายแพทย์บุญ วนาสิน กำลังเป็นประเด็นดราม่าสนั่นสังคม ชื่อของ “ดร.สุวดี พันธุ์พานิช” ก็ได้รับการพูดถึงมากขึ้นทั้งนอกและในโซเชียลมีเดีย เมื่อเธอคือผู้ทำหนังสือชี้แจงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ จำกัด (มหาชน) ได้มีการตกลงซื้อวัคซีนจริง เช่นเดียวกับช่วยเป็นผู้ประสานหาเตียงและช่วยเหลือประชาชนที่ติปดเชื้อโควิด-19 ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังปรากฏตัวในฐานะสมาชิกของพรรคการเมืองน้องใหม่อย่าง “พรรคไทยสร้างไทย”ของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อีกด้วย 

แล้วหญิงสาวผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยประกาศศักดาว่า “ไม่เป็นกลาง อยู่ข้างประชาธิปไตย” เธอผู้นี้เป็นใครกัน ชวนคนข่าวตัวจริงมาร่วมทำความคุ้นเคย ทำความรู้จักสาวสวยคนนี้ กับมุมองในการทำงานเพื่อสังคม ดร.สุวดี รู้จักเธอให้มากขึ้นในหลายแง่มุมที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้ 

หลากหลายบทบาทของ ดร.สุวดี

ดร.สุวดี พันธุ์พานิช หรือ เรียกกันคุ้นปากว่า “ดร.นิค” เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า หลังจากที่เธอเรียนจบนิเทศศาสตรมหาบัณฑิต (วาทวิทยา) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว เธอก็ได้สมัครเข้าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยทางภาคเหนือ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอ ก่อนจะถูกทาบทามให้เข้ามาเป็นคณะทำงานของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตรองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น 

“เรามองเรื่องโอกาสและจังหวะ ตอนที่มีคนมาทาบทาม เป็นช่วงที่หยุดการสอน และกำลังเรียนปริญญาเอกอยู่ มันจึงเป็นช่วงที่เราได้ศึกษาการเมืองมากขึ้น อ่านหนังสือมากขึ้น ช่วงนั้นก็มีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เราจึงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและความเคลื่อนไหวมาโดยตลอด พอมีคนมาทาบทามก็ทำให้ตัดสินใจค่อนข้างง่ายเหมือนกัน” ดร.สุวดี เล่า 

เมื่อเข้ามาเป็นหนึ่งในคณะทำงานของรองนายกฯ ดร.สุวดี จึงได้พบกับนายแพทย์บุญ วนาสิน ซึ่งดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาคณะทำงาน ก่อนจะถูกทาบทามให้ทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยส่วนตัวของนายแพทย์บุญ ซึ่งดร.นิคก็ระบุว่า เป็นช่วงเวลาที่เธอมีโอกาสได้ทำทั้งการเมืองและธุรกิจไปพร้อมๆ กัน

หลังจากเปลี่ยนรองนายกฯ ดร.สุวดีก็ได้รับโอกาสอีกครั้งให้ทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยของนายโภคิน พลกุล ผู้กลายเป็น “อาจารย์” ที่สอนทักษะต่าง ๆ ทั้งเรื่องกฎหมายและการเมืองให้กับเธอ อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดเหตุการณ์รัฐประหารปี 2557 ขึ้น ดร.สุวดีจึงค่อย ๆ ลดบทบาททางการเมืองลง และเพิ่มบทบาททางธุรกิจมากขึ้น



เปิดมุมมองต่องานการเมือง

“เรามีความสนใจการเมืองอยู่แล้ว ได้ติดตามการเมืองมาโดยตลอด ที่บ้านก็เป็นครอบครัวคนรักประชาธิปไตยที่เลือกตั้งทุกครั้ง ปลูกฝังมาตั้งแต่คุณย่า คุณพ่อคุณแม่ คือที่บ้านเป็นข้าราชการ แล้วเขาจะไม่พลาดการเลือกตั้ง มันเลยซึมซับมาที่เรา”

ดร.สุวดี เปิดใจเล่า เมื่อถูกตั้งคำถาม “เริ่มต้นสนใจการเมืองตั้งแต่เมื่อไหร่”

หลังจากที่ได้ลิ้มรสบรรยากาศการทำงานในแวดวงการเมืองมาบ้าง เธอสะท้อนว่า สิ่งที่สนุกที่สุดในการทำงานด้านนี้คือ การได้ใช้ทักษะต่าง ๆ ที่เธอมี พัฒนาการเมืองที่ยังเป็นจุดอ่อนของประเทศ ทั้งในเรื่องของความรวดเร็ว แนวคิด และการปลดปล่อย “สิ่งเดิม ๆ” ที่ทำตามกันมาเป็นเวลานาน แม้เหตุการณ์รัฐประหารจะทำให้เธอหันไปสนใจงานทางธุรกิจมากกว่า แต่เมื่อคุณหญิงสุดารัตน์ประกาศลาออกจากพรรคเพื่อไทย ดร.สุวดีก็ยื่นใบลาออกจากพรรคเช่นเดียวกัน และกลายมาเป็นหนึ่งในคณะทำงานของพรรคไทยสร้างไทยในที่สุด

“หลังจากที่คุณหญิงออกมา อาจารย์โภคินออกมา ท่านก็ถามว่าเราสนใจไหม เข้ามาช่วยกันทำงาน เราก็รีบลาออกมาเลย ตอนมาช่วยงานที่พรรค เราก็ยังไม่แน่ใจว่าจะช่วยอะไรดี ตอนนั้นงานบริษัทก็ค่อนข้างหนัก แต่คุณหญิงก็ให้โอกาสเป็นรองโฆษก เพราะทักษะการพูดการเขียน เราเลยได้มาช่วยในหัวข้อที่เกี่ยวกับด้านสาธารณสุข” ดร.สุวดีเล่า

การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก และดร.สุวดีก็เป็นหนึ่งในคนที่เข้ามาช่วยประสานเรื่องเตียงรักษาในช่วงแรก ๆ ภายใต้เพจ “ไม่ได้เป็นหมอแต่เป็นห่วง” ซึ่งจนถึงวันนี้ ทางเพจได้ช่วยเหลือประชาชนไปแล้วกว่าหลายพันคน

“ในเพจไม่ได้เป็นหมอแต่เป็นห่วง รวมถึงทวิตเตอร์ ดร.สุวดี เราได้คอยช่วยเหลือช่วยประสานงานช่วยคนไข้ มีคนไข้เยอะมาก คิดว่าน่าจะสี่ห้าพันรายที่ติดต่อมาที่เรา เราตอบเองทุกแชท โดยเฉพาะตอนกลางคืน ถึงจะมีแอดมินมาช่วยแปะมือด้วยก็ตาม คือทุกเคสเราสงสารหมด ทุกคนมีความต้องการ มีความจำเป็นที่จะต้องแยกตัวด่วน มีคุณย่าคุณยายที่หายใจไม่ออกแล้ว เคสไหนที่เราช่วยได้เราเร่งช่วยอย่างเร่งด่วนอยู่แล้ว หลายเคสเราช่วยยังไม่ได้ ณ เวลานั้น เราให้หมอโทรไปเยี่ยม ทุกเคสมันทำให้เรามีน้ำตา เพราะทุกคนไม่ควรอยู่ในภาวะว่า เราจะเป็นคนที่ถูกเลือกหรือเปล่า ไม่ว่าจะอุปกรณ์หรือเตียงที่มีจำกัด มันทำให้คนรู้สึกว่ามันด้อยค่า” ดร.สุวดีเล่า 


ไม่เพียงแค่การช่วยเหลือประสานหาเตียงเท่านั้น แต่ทาง ดร.สุวดีและพรรคไทยสร้างไทยก็ยังได้ร่วมมือกับเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย จัดตั้งศูนย์พักคอยประปาแม้นศรีขึ้น เพื่อลดโอกาสการแพร่กระจายเชื้อในชุมชน เมื่อคนถูกแยกตัวออกจากอย่างรวดเร็ว ก็จะได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วนั่นเอง 

ทั้งนี้ การลงไปหน้างานในจุดนี้ ทำให้ดร.สุวดีมองเห็นปัญหาการบริหารจัดการโรคโควิด-19 ที่ล่าช้าและการชะล่าใจของรัฐบาล โดยเธอมองว่า ปัญหาสำคัญของภาครัฐคือการตรวจโรค ซึ่งไม่ยอมตรวจ หรือตรวจแต่ตรวจน้อยและมีเงื่อนไข ส่งผลกระทบไปถึงเรื่องของการจัดการเตียง ที่ไม่มีการขยายเตียงไว้รองรับผู้ป่วย ทำให้เกิดการสูญเสียเป็นจำนวนมากอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้

บทพิสูจน์…ถ้าการเมืองดี ชีวิตประชาชนจะดี

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาโควิด-19 ยึดโยงอยู่กับเรื่องของการเมือง ดร.สุวดี ได้ย้ำอีกว่า เมื่อการเมืองดี ระบบสาธารณสุขที่ดีก็จะเกิดขึ้นตามมา โดยการเมืองดีจำเป็นต้องยึดโยงอยู่กับประชาชน มีที่มาจากประชาชน และมาจากกฎเกณฑ์ที่ประชาชนเป็นผู้วางไว้ นั่นก็คือ “รัฐธรรมนูญ” ดังนั้น การเมืองจะดีได้ ก็ต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน และหากการเมืองดี ไม่ใช่แค่เรื่องของระบบสาธารณสุขเท่านั้นที่จะดีขึ้น แต่ระบบต่าง ๆ ในประเทศก็จะดีขึ้นและเอื้อประโยชน์ให้กับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างแท้จริง

“สังคมควรอยู่ในรูปแบบที่คนสามารถทำมาหากินได้ โดยที่ไม่ต้องใช้เส้นสายในการเริ่มทำมาหากิน ในการดำเนินการหากิน รวมถึงจ่ายภาษีด้วย การทำให้คนทำมาหากินได้ โดยไม่ต้องพึ่งคนแนะนำ นี่คือพื้นฐานที่ทุกคนควรจะต้องมีก่อน ทุกวันนี้จะเปิดนั่นที ต้องวิ่งไปหาคนนั้นที มันคือจุดเริ่มต้นของความพังพินาศของประเทศไทยแล้ว ต่อมาเกิดอะไรขึ้น พอคนไม่มีอุปสรรคในการค้าขาย คนก็สามารถจ่ายภาษีในระบบได้อย่างเต็มที่ จากนั้นการจ่ายภาษี หากมีการบริหารจัดการภาษีที่ดี คนไม่ต้องกังวลว่าเจ็บไปไหน ป่วยไปไหน ตายไปไหน ใครจะดูแลพ่อแม่เรา ถ้าระบบพวกนี้ดี เราไม่จำเป็นต้องจำกัดในการใช้ชีวิต เมื่อไรที่เรารู้สึกว่าการบริหารจัดการตรงนี้สามารถครบถ้วนได้ ก็จะทำให้คนและเศรษฐกิจหมุนเวียนได้ดี ประเทศเจริญก้าวหน้าได้อย่างดีมาก” ดร.สุวดี กล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจ

แคมเปญสุดปัง ปูทางการเลือกตั้ง 66 “ไทยสร้างไทย” ประกาศ ยกระดับคุณภาพ 30 บาทรักษาทุกโรค ปฏิวัติแนวคิด ชู 30 บาทพลัส สุขภาพดีถ้วนหน้า สู่ Well-being Society ใช้เทคโนโลยี AI สร้างสังคมอุดมสุขภาพป้องกันก่อนป่วย ดูแลสุขภาพด้วยหมอประจำตัว 24 ชั่วโมง

กระแสร้อนล่าสุด เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2566 ทางด้านคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ดร.สุวดี พันธุ์พานิช คณะทำงานด้านสาธารณสุขพรรคไทยสร้างไทย ร่วมกันแถลงข่าวถึงแนวทางในการปฏิรูประบบสาธารณสุขด้วยเทคโนโลยี AI และสร้าง Well-being Society

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ปัญหาด้านสาธารณสุขของประเทศไทยในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมาคือ ค่าใช้จ่ายด้านระบบสาธารณสุขของไทยพุ่งสูงขึ้นมาก แต่ประสิทธิภาพน้อยลง โดยปี 2544 ประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข 157,228 ล้านบาท ส่วนปี 2564 มีค่าใช้จ่าย 682,401 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 334% แต่กลับมีผู้เสียชีวิตมากขึ้นเกือบ 20% จากปีก่อนหน้าทุกปี

นอกจากนั้น ยังมีจำนวนแพทย์เพิ่มขึ้น 106.7% และพยาบาล 140% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่ภาระของแพทย์ พยาบาล ยังต้องทำงานหนักมากขึ้น และคาดว่าในปี 2574 ค่ารักษาพยาบาลจะพุ่งสูงขึ้นถึง 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งระบบงบประมาณของประเทศจะไม่สามารถรองรับได้อย่างแน่นอน และจะทำให้มีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น “ถึงเวลาที่พรรคไทยสร้างไทย จะต้องปฏิวัติระบบคิด ด้านการสาธารณสุข ถึงเวลาต้องเพิ่มคุณภาพ 30 บาทรักษาทุกโรค เป็น 30 พลัส สุขภาพดีถ้วนหน้าสร้าง Well-being Society สังคมอุดมสุขภาพ”

ขณะเดียวกัน เราจะปฏิวัติวิธีคิดระบบสาธารณสุขไทย จาก “Sickcare เป็น Healtcare” เราต้องเลิกรอให้ป่วยแล้วค่อยดูแล สร้างประเทศไทยให้เป็น Well-being Society พร้อมเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ Rethink Redesign Restructure Return Rights สำหรับ 30 บาท Plus เราจะเน้น Do It Yourself หรือ DIY Healtcare โดยใช้เทคโนโลยีมายกเครื่องระบบสุขภาพเต็มรูปแบบ ประชาชนคนไทยทุกคนจะมี Mobile Doctor อยู่ติดตัวตลอดเวลา สามารถสอบถามเรื่องสุขภาพได้ตลอด 24 ชั่วโมง ระบบ ChatGPT คือ AI Chatbot หรือปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถสื่อสารผ่านข้อความกับมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งมีความสามารถสอบผ่าน วิชาทางการแพทย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ทุกวิชาด้วยคะแนนร้อยละ 80-90 ซึ่งถือว่าเป็นคะแนนระดับท็อปของมนุษย์

ซึ่งการมี Mobile Doctor ประจำตัวนั้น จะทำให้คนไทยดูแลสุขภาพได้ง่ายขึ้น สามารถสอบถามหมอประจำตัว ได้ 24 ชั่วโมง ถ้าตรวจประเมิน พบว่าเจ็บป่วยเล็กน้อย จะสามารถสั่งยาผ่าน Mobile Doctor และนำ QR Code ไปสแกนรับยาฟรี ที่ร้านยาใกล้บ้าน แต่หากต้องพบแพทย์ Mobile Doctor ก็จะนัดแพทย์ใกล้บ้านให้ ดังนั้นผู้ที่เจ็บป่วยจึงสามารถเข้ารักษาโรงพยาบาลที่ใดก็ได้ หรือหากป่วยหนัก Mobile Doctor จะหาแพทย์เฉพาะทางให้โดยไม่ต้องรอใบส่งตัว

ซึ่งระบบดังกล่าวจะช่วยลดภาระหมอ พยาบาล ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลและจะทำให้ความแออัดในโรงพยาบาลลดลง ซึ่งระบบทั้งหมดจะอยู่ใน Cloud จะช่วยให้สามารถวิเคราะห์สุขภาพของแต่ละบุคคลได้ เพื่อป้องกันโรคไม่ให้เกิดกับประชาชนได้

คุณหญิงสุดารัตน์ ย้ำว่า ถึงเวลาที่ต้องยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค พัฒนาสู่ 30 บาท Plus สร้าง Well-being Society เพื่อให้คนไทยทุกคนเปลี่ยน Sickcare เป็น Healthcare

ทั้งนี้ เมื่อ 20 ปีที่แล้วได้ริเริ่ม การสร้าง Medical Hub แต่ถึงวันนี้ เราจะมาต่อยอดเพื่อสร้างรายได้ให้มากกว่าเดิม ด้วยการเป็น Global Well-being Hub ของคนทั้งโลก เจาะตลาดสุขภาพที่มีมูลค่ากว่า 156 ล้านล้านบาท ซึ่งใหญ่กว่าตลาดท่องเที่ยวถึง 2 เท่า และหากเจาะตลาดได้เพียง 1% จะสร้างรายได้ให้ประเทศไทยและคนไทยกว่า 1.56 ล้านล้านบาท ซึ่งเรามีแพทย์ พยาบาลที่เก่ง มีอาหารเสริม มีสมุนไพร มีสปา และการบริการที่ดีเยี่ยม ซึ่งพร้อมจะเดินหน้าทำได้ทันที


ด้าน ดร.สุวดี กล่าวเสริมว่า การปฏิวัติระบบสาธารณสุข ต้องเริ่มจาก การดูแลประชาชนด้วยการรักษาโดย P4 ประกอบด้วย

  • ช่วยในการคัดกรองข้อมูล
  • ช่วยให้ประชาชนไม่ต้องรอคิว
  • ช่วยให้เจ้าหน้าที่ทำงานง่ายขึ้น
  • ช่วยดูแลผู้ป่วย Acute care ลดจำนวนคนไข้ในโรงพยาบาล

นอกจากนี้ จะสร้างบำนาญประชาชน 3,000 บาทดูแลสังคมสูงวัยให้แข็งแรง ซึ่งคนไทยที่มีสุขภาพดีต้องมีรางวัล อาจเป็นส่วนลดค่าใช้จ่ายจากภาครัฐเช่นไฟฟ้า ประปา การเดินทางรถสาธารณะต่างๆ เป็นต้น ที่สำคัญจะมีการนำปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มาบริหาร จัดการระบบสาธารณสุขของไทยใหม่ทั้งระบบ

ที่มา : Nationtv


Facebook
Twitter
LinkedIn
Pinterest

ร้องเรียน - ร้องทุกข์