มนุษย์ออฟฟิศอย่างเราๆ
แม้ภายนอกจะใช้ชีวิตสุดชิลล์
แต่ความจริงแล้วพฤติกรรมเล็ก พฤติกรรมน้อย
กลับสร้างปัญหาสุขภาพอย่างใหญ่หลวงโดยไม่รู้ตัว
ถึงขั้นที่บางคนกว่าจะรู้ว่าเป็นโรคก็สายเกินแก้ไปแล้ว
วันนี้นิคมี 5 พฤติกรรมเล็กๆ ที่เราชาวออฟฟิศติดทำจนเป็นนิสัย
ซึ่งนำไปสู่ปัญหาร้ายแรงต่อสุขภาพ
จะมีอะไรบ้าง แล้วคุณเองกำลังทำอยู่รึเปล่า
เรามาลองเช็กไปพร้อมๆ กันค่ะ
1 นั่งติดโต๊ะไม่ยอมลุกไปไหน
คนทำงานออฟฟิศส่วนใหญ่ มีเวลาน้อยมากในการขยับตัว
ถ้าหากไม่ใช่ช่วงพักกลางวัน หรือเดินไปห้องน้ำ
ก็เรียกได้ว่า แทบไม่มีเวลาได้ลุกไปไหน
แต่ทราบหรือไม่คะว่า การไม่ได้ลุกไปไหน นั่งติดเก้าอี้นานๆ นี่แหละ
ตัวส่งผลเสียต่อสุขภาพ
ทางการแพทย์ได้สรุปออกมาแล้วว่า
พฤติกรรมการนั่งทำงานนานเกินไป ส่งผลเสียต่อหลายส่วนในร่างกาย
เช่น ตับอ่อน ลำไส้ใหญ่ ปอด มดลูก และหัวใจ เป็นต้น
เนื่องจากการนั่งนานๆ จะทำให้หลอดเลือดและความดันเลือด
ทำงานได้ไม่สมดุล ทั้งกล้ามเนื้อ และอัตราการเผาผลาญก็จะทำงานช้าลง
ทำให้ไขมันอุดตันเส้นเลือดได้ง่าย อีกทั้งยังมีแรงดันไม่มากพอ
ให้เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงตามอวัยวะส่วนต่างๆ ได้มากเท่ากับตอนที่เราขยับเขยื้อนร่างกาย
ที่สำคัญนอกจากจะส่งผลต่ออวัยวะภายในแล้ว
ก็ยังลุกลามมาถึงส่วนนอกของร่างกาย เช่น คอ หลัง บ่า ไหล่ อีกด้วย
ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ชาวออฟฟิศส่วนมากนั้น
มีปัญหาการปวดเมื่อยตามจุดต่างๆ ที่กล่าวมาอยู่บ่อยครั้ง
หรือบางคนก็เป็นหนักถึงขั้นอักเสบเรื้อรังกันเลยทีเดียว
ทางแก้ที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ ทางการแพทย์ก็ลงความเห็นเหมือนกันว่า
พนักงานออฟฟิศ หรือใครก็ตามที่นั่งทำงานนานๆ
ควรลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย เดินไปเข้าห้องน้ำ อย่างน้อยๆ ชั่วโมงละ 1 ครั้ง
เพื่อทำให้กล้ามเนื้อ ความดันเลือด และการไหลเวียนเลือดภายในร่างกาย
สูบฉีดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้อย่างเต็มที่
อีกทั้งยังไม่ให้กล้ามเนื้อตามคอ หลัง บ่า ไหล่ ยึดเกร็งจนเกิดอาการอักเสบด้วยค่ะ
ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการป้องกันสุขภาพ ก่อนที่จะสายเกินแก้
2 จ้องหน้าจอตลอดเวลา แม้เลิกงานก็ไม่ยอมห่าง
และแน่นอนว่าเมื่อนั่งหน้าจออยู่ตลอด
ก็จะต้องพลอยจ้องหน้าจออยู่ตลอดไปด้วยโยปริยาย
หน้าจอที่ว่านี้ไม่ใช่แค่หน้าจอคอมพิวเตอร์
แต่ยังรวมไปถึงหน้าจอสมาร์ทโฟน ที่แม้จะพักกลางวัน หรือเลิกงานก็ยังดูไม่ยอมห่าง
หลายคนเชื่อว่าสมาร์ทโฟนกลายเป็นอวัยวะอีกชิ้นไปแล้วของร่างกาย
ก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องจ้องมันทั้งวันทั้งคืน
แต่ถึงอย่างนั้นนิคก็อยากให้ทุกคนลดเวลาในการใช้มัน
แม้จะสักเล็กน้อยก็ยังดีค่ะ
เนื่องจากหน้าจออุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ต่างๆ จะปล่อยแสงสีฟ้าออกมาตลอดเวลา
ซึ่งแสงสีฟ้าตัวนี้จะทำลายจอประสาทตาให้เสื่อมได้
และทำให้เลนส์ตาได้รับความเสียหายหากจ้องอย่างต่อเนื่อง
ที่สำคัญแสงสีฟ้ายังทำให้ระบบเวลาชีวิตและสมองรวน
เนื่องจากแสงสีฟ้าใกล้เคียงกับแสง UV
เมื่อดวงตาเรารับเข้านานๆ สมองก็จะเข้าใจว่าเป็นเวลากลางวันตลอดเวลา
สมองจึงตื่นตัว ทำให้เรากระฉับกระเฉง ทำให้เวลาที่ควรจะนอน เราก็พลอยนอนไม่หลับซะอย่างนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นนะคะ การจ้องหน้าจอคอมนานๆ
ยังทำให้เสี่ยงเป็นโรคสายตาสั้น โรคกล้ามเนื้อตาอ่อนล้า
และอาจจะเป็นต้อลมได้ในอนาคต
ซึ่งดวงตานั้นอยู่กับเราทุกวันจนหลายคนละเลยความสำคัญ
แต่ความจริงแล้วดวงตาสองคู่ของเราเป็นสิ่งที่จำเป็นมากต่อการดำรงชีวิต
นิคจึงอยากให้ทุกคนถนอมมันไว้ให้มากๆ
เมื่อเวลาพักก็หันหน้าออกไปมองต้นไม้ ใบหญ้าบ้าง หรือหลับตาสั่งสมาธิสัก 1-2 นาทีสั้นๆ ก็ได้ค่ะ
เพื่อให้ดวงตาจได้ผ่อนคลาย พร้อมที่จะกลับมาทำงานต่ออย่างเต็มที่
3 กินจุ๊บจิ๊บเรื่อยๆ ไปจนเลิกงาน
เคยเห็นหลายคนเลยค่ะ ที่น้ำหนักตัวขึ้นระหว่างทำงาน
ทั้งๆ ที่ก็กินเหมือนๆ เดิม ไม่ได้กินอะไรจัดหนักจัดเต็ม แต่ทำไมน้ำหนักเพิ่มได้ล่ะนี่?
แต่ความจริงแล้วหลายคนไม่ได้สังเกตพฤติกรรมตัวเองใช่ไหมคะ
เพราะนั่งในออฟฟิศ ก็จะมีเพื่อน มีรุ่นพี่ ซื้อของจากข้างล่างมาชวนกันกิน ชวนกันแบ่งอยู่ตลอด
แม้จะกินคราวละคำสองคำ ดูเหมือนไม่เยอะอะไร
แต่กินไปตลอดทั้งวัน เมื่อลองคำณวนเล่นๆ ก็อาจจะได้แคลอรี่มากเท่ามากจานหนึ่งเลยก็ได้
ไหนจะบางคนที่มีพฤติกรรมซุกซ่อนขนมไว้ในลิ้นชัก
มีลูกอม ของหวานๆ มาขบเคี้ยวระหว่างนั่งทำงาน
ก็แหม มันเครียดนี่คะ ก็ต้องขอเคี้ยวอะไรแก้เครียดหน่อย
เพราะเป็นแบบนี้ไงคะ น้ำหนักก็เลยขึ้นเอาๆ
บวกกับใครนั่งติดโต๊ะไม่ยอมเคลื่อนไหวร่างกายยิ่งแล้วใหญ่เลย
พฤติกรรมการกินในลักษณะนี้ นอกจากจะทำให้น้ำหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัวแล้ว
ทราบไหมคะ ว่ายังเสี่ยงต่อโรคเบาหวานอีกด้วย
เพราะการกินหนึ่งครั้ง ร่างกายก็จะขับอินซูลินออกมาไล่น้ำตาลออกจากเลือด
และถ้าขับออกมาเรื่อยๆ ตลอดทั้งวัน ไม่มีช่วงที่ทำให้อินซูลินสงบลงเลย
ร่างกายก็จะเข้าสู่ภาวะการดื้ออินซูลิน และนำไปสู่โรคเบาหวานได้ในที่สุด
นอกจากโรคเบาหวานแล้ว ก็ยังจะนำพาไปสู่โรคอ้วน
หรือมีภาวะน้ำหนักเกินได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งภาวะน้ำหนักเกิน หรือมีไขมันสะสมในร่างกายมากๆ เข้า
ก็จะนำไปสู่โรคร้ายแรงอย่างอื่นตามมาได้อีกเช่นกัน
เช่น อาการปวดข้อ ปวดเข่า จากร่างกายที่น้ำหนักมาก
ภาวะอาการเหนื่อยล้าตลอดทั้งวัน เพราะน้ำตาลที่ค้างอยู่ในกระแสเลือด
รวมไปถึงอาการปวดหัว หงุดหงิด จากการที่ร่างกายเสพติดน้ำตาลด้วยค่ะ
ใครที่มีพฤติกรรมดังกล่าวอยู่ นิคแนะนำว่าให้ค่อยๆ ควบคุมปริมาณการกิน
กินให้จบเป็นมื้อๆ ไป แล้วงดกินจุกจิกระหว่างวัน
วิธีนี้นอกจะเป็นการควบคุมแคลอรี่ที่ร่างกายรับเข้าแล้ว
ก็ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ทำให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาระหว่างวันด้วยค่ะ
4 เติมคาเฟอีนเข้าร่างกายจนติดเป็นนิสัย
เมื่อพูดถึงมนุษย์ออฟฟิศ หลายคนก็มักจะคิดถึง “กาแฟ” ควบคู่กันไปด้วย
เพราะเป็นอะไรที่ชาวออฟฟิศหลายคนต้องซื้อติดตัวยามเช้า
บางคนไม่ได้ทาน ถึงขั้นขาดใจ มือสั่น หน้ามืด ปวดหัวกันเลยทีเดียว
จริงๆ แล้วทางการแพทย์ก็ได้ยืนยันนะคะ
ว่าการทานกาแฟและรับคาเฟอีนที่เหมาะสม ราวๆ 250 มิลลิกรัมนั้นถือว่าไม่อันตราย
และยังช่วงส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายและสมองได้ดีอีกด้วย
แต่สิ่งที่หลายคนเป็นกังวลเกี่ยวกับการดื่มกาแฟ
คือหลายคนเลือกที่จะดื่มกาแฟสำเร็จรูป หรือกาแฟที่ใส่น้ำตาล นมข้น ไซรัปเสียเต็มเปี่ยม
ซึ่งนอกจากจะไม่ได้ให้ประโยชน์แล้ว ก็อาจจะยังแถมโรคเบาหวานมาให้ด้วยฟรีๆ ไม่คิดเงิน
ที่สำคัญ หากรับคาเฟอีนเกินกว่า 250 มิลลิกรัมต่อวัน
ก็เสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งเต้านม และมีส่วนในการขัดขวางการดูดซึมแร่ธาตุสำคัญๆ ในร่างกาย
รวมไปถึงเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนอีกด้วยค่ะ
ดังนั้นทางที่ดี เราควรเลือกดื่มกาแฟให้เหมาะสมเพียงวันละ 1 แก้วต่อวันก็เพียงพอแล้ว
และกาแฟที่ควรดื่ม ควรจะเลือกเป็นกาแฟดำ ไม่เติมน้ำตาล
ควรหลีกเลี่ยงกาแฟสำเร็จรูป กาแฟซอง หรือกาแฟชงที่ให้แต่เพียงความหวาน
เพราะที่หลายคนดื่มกาแฟแล้วสดชื่นตอนเช้า บางทีอาจจะไม่ใช่ฤทธิ์ของของเฟอีน
แต่เป็นฤทธิ์ของน้ำตาลแทนก็ได้นะคะ
5 กินไป ทำงานไป แบบนี้สิสุด Productive
มีหลายคนเลยค่ะ ที่นิยมเอาข้าวมากินบนโต๊ะทำงาน
กินไปด้วย ทำงานไปด้วย ไม่ก็ดูมือถืออะไรไปด้วยตลอดเวลา
พฤติกรรมแบบนี้นอกจากจะทำให้ฮอร์โมนเลปติน หรือฮอร์โมนอิ่มไม่หลั่งแล้ว
ก็ทำให้เรากินเพิ่มมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ที่สำคัญยังทำให้สมองตื้อ ไม่กระฉับกระเฉง
ลามไปจนถึงทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย เมื่อยล้า เพราะรู้สึกว่าไม่ได้พักนั่งเองค่ะ
มีงานวิจัยทางการแพทย์ได้ออกมายืนยันแล้วว่า
การกินไปด้วย เล่นมือถือ หรือทำงานไปด้วย
จะทำให้เราเคี้ยวข้าวเร็วผิดปกติ ไม่มีสมาธิอยู่กับการกิน
และอาจจะทำให้เราหิวมากขึ้นกว่าเดิม นำไปสู่ปัญหาน้ำหนักเกินตามมาในอนาคต
ที่สำคัญสมองเราก็จะเข้าใจว่าร่างกายยังไม่ได้พัก
ทำให้เหนื่อยล้า และอาจเข้าสู่อาการอ่อนเปรี้ยไปตลอดทั้งวันได้อีกด้วย
ทางที่ดีคือ เมื่อถึงเวลาพัก ควรไปหาที่นั่งทานข้าวอย่างเป็นกิจลักษณะ
ออกไปทานข้าวกับเพื่อนๆ เพื่อพูดคุย พักผ่อนบ้าง
นอกจากจะทำให้เราได้โฟกัสกับการทานอาหารที่อร่อยขึ้นแล้ว
ก็จะทำให้เราได้พักผ่อน เข้าสังคมไปในตัว
ซึ่งถือว่าเป็นทางออกที่ดีมากๆ เลยค่ะ
อีกทั้งยังได้ขยับตัวเดิน ไม่ต้องจับเจ่าในออฟฟิศตลอดวัน
นิคคิดว่ามันจะช่วยทำให้เราสดชื่นขึ้นได้ด้วยนะคะ
พฤติกรรมในการทำงานเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้
แม้หลายคนจะมองว่าเป็นค่านิยมส่วนใหญ่ ที่ชาวออฟฟิศนิยมทำกัน
เพราะทำแล้วอาจได้รับการยอมรับ หรือทำแล้วจะได้มีเรื่องพูดคุยมากขึ้น
แต่นิคว่านั่นไม่ใช่ความจริงเลยค่ะ
เพราะไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งภายนอกก็ไม่อาจสำคัญสู้เท่ากับสุขภาพร่างกายของเราได้
ใครที่กำลังทำพฤติกรรมเสี่ยงทั้ง 5 ข้อนี้อยู่
อยากให้รู้ไว้ว่าคุณกำลังเสี่ยงกับโรคหัวใจ มะเร็ง โรคอ้วน โรคนอนไม่หลับ
และอีกหลายๆ โรคที่แฝงอยู่ รอวันที่ร่างกายอ่อนแอ จึงค่อยออกอาการให้ได้เห็นชัดเจน
อย่ารอให้ถึงวันนั้นเลยนะคะ
รีบปรับเปลี่ยนนิสัย วันละเล็ก วันละน้อย
แม้ช่วงสั้นๆ อาจจะยังไม่เห็นผล แต่นิคเชื่อว่าภายในอนาคต
มันจะต้องช่วยทุกคนให้มีสุขภาพที่แข็งแรงได้แน่นอนค่ะ
อ้างอิง
https://www.bangkokhospital.com/en/content/work-from-home-and-office-syndrome
https://www.jobscan.co/blog/risks-working-unhealthy-work-environment/
https://www.samitivejhospitals.com/th/article/detail/นั่งนานเกินไป
https://www.pobpad.com/กาแฟ-ประโยชน์และโทษต่อส
https://www.samyan-mitrtown.com/2021/07/22/5-ข้อเสียของการดื่มกาแฟ/
https://www.brighttv.co.th/health/eat-fast-and-risk-your-health