นโยบาย

ขุดคลองไทย สร้างพลังอำนาจให้ประเทศไทย ก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลาง Logistics ทางทะเล

รายละเอียดนโยบาย

เศรษฐกิจไทยยุคไร้พรมแดน คลองไทยจะเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ สามารถใช้เป็นแผนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ โดยจะไม่มีประเทศใดมาแข่งขันกับเราได้ เพราะตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่พิเศษสุดนี้มีที่ประเทศไทยแห่งเดียว

คลองไทยจะเป็นขุมทรัพย์ทางทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่มีวันหมด จะเป็นช่องทางสร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็งและมั่นคงได้ยาวนาน การส่งออกสำหรับสินค้าภาคเกษตรของประเทศไทยทั้งหมด รายได้ยังน้อยกว่ารายได้จากการท่องเที่ยวเสียอีก แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การเกษตรก็จะยังคงมีความสำคัญอยู่ เพราะประเทศไทยจะต้องมีอาหารที่สมบูรณ์พอเพียง แต่การคาดหวังจะให้สินค้าจากทางภาคเกษตรเป็นธงชัยนำทางเศรษฐกิจที่จะพาเราไปสู่ความมั่งคั่งของประเทศ แทบจะมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายทางเลย เนื่องจากรายได้ภาคการเกษตรทั้งหมดของประเทศไทยมีแค่ร้อยละ 8.5 ของ GDP ประเทศเท่านั้น แต่ใช้ประชากรผลิตประมาณครึ่งหนึ่งของแรงงานทั้งประเทศ รายได้จากภาคการท่องเที่ยวประมาณ 1.25 ล้านล้านบาท

ส่วนภาคอุตสาหกรรม แม้จะมีสินค้าภาคอุตสาหกรรมหลายอย่างของประเทศไทยที่ส่งออก แต่รายได้ที่แท้จริงที่ได้ก็เป็นเพียงแค่ค่าแรงงานในฐานะผู้รับจ้างผลิต หรือไม่ก็เป็นผู้รับประกอบชิ้นส่วนเป็นหลักเสียส่วนมาก ตัวเลขจำนวนเงินมูลค่าของสินค้าภาค อุตสาหกรรมที่ส่งออกดูเหมือนจะสูงมาก แต่รายได้ที่แท้จริงที่ไทยได้รับ คือ ค่าแรงงานประมาณร้อยละ 25 – 30 ของมูลค่าที่ส่งออกเท่านั้น

หากไทยขุดคลองไทยสำเร็จ เราก็จะถูกจัดเข้าไปอยู่ในระเบียงเศรษฐกิจทางทะเลของจีนที่เรียกว่า Maritime Silk Road อย่างเต็มภาคภูมิ และจะเป็นเส้นทางเดินเรือเส้นใหม่ที่เป็นหลักของโลก ที่สายการเดินเรือของโลกจะมาใช้เส้นทางนี้ และจะทำให้ประเทศเรากลายเป็นได้เปรียบมาเลเซีย และสิงคโปร์ในทันที

ตอนนี้ท่าเรือแหลมฉบังอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาก โดยเฉพาะมาเลเซียและสิงคโปร์ เนื่องจากท่าเรือแหลมฉบังเปรียบไปแล้วเหมือนอยู่สุดซอยและเป็นซอยตันด้วย ทำให้ไม่ค่อยมีสายการเดินเรือใหญ่ๆ วกมารับของที่ท่าเรือนี้ ในทวีปเอเชียปัจจุบันนี้มีเพียงแค่จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และมาเลเซียเท่านั้นที่มีสายการเดินเรือหลักของโลก 11 สาย หรือที่เรียกว่า Port Call มาใช้บริการ แต่ท่าเรือแหลมฉบังมีแค่ 5 Port Call มาใช้เท่านั้น ข้อเสียเปรียบของท่าเรือแหลมฉบังที่ทำให้สายการเดินเรือไม่มาแวะรับตู้สินค้า มีสาเหตุมาจากอำนาจการผลิตสินค้ามีน้อย อำนาจการพัฒนาและโครงข่ายด้าน Logistics ที่จะดึงเอาสินค้าจากทั้งภูมิภาคเข้ามาที่ท่าเรือมีน้อย และต้นทุนการผลิตสินค้าให้ถูกกว่าและมีความรวดเร็วยังสู้ประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้

คลองไทยมาจะทำหน้าที่เสริมท่าเรือแหลมฉบัง ตัวเลขประมาณการการใช้บริการท่าเรือซึ่งวัดด้วยจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ที่ขนส่งมาที่ท่าเรือแหลมฉบัง เพิ่มขึ้นจาก 11 ล้านตู้ ในปี 2566 เป็น 15 ล้านตู้ หลังจากขุดคลองไทยเสร็จ ในปี 2573 โดยในระยะเริ่มต้นจะเพิ่มเข้ามา 2 ล้านตู้ และหลังจากคลองไทยเดินหน้าได้เต็มพิกัด คาดว่าในปี 2593 จะมีสินค้าส่งผ่านแหลมฉบัง 18 ล้านตู้ ส่งผ่านคลองไทย 10 ล้านตู้ และส่งมาจากประเทศอื่นเพื่อถ่ายลำที่ไทย (Transshipment) อีก 12 ล้านตู้ รวมทั้งหมดทุกช่องทางจะมากกว่า 40 ล้านตู้

คลองไทยช่วยเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจของภาคใต้และของประเทศไทย ที่สำคัญกว่านั้น คือทำหน้าที่เชื่อมระเบียงเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นสายแถบและเส้นทาง Belt and Road และ Maritime Silk Road ทำให้สามารถกระจายสินค้าเข้าถึงศูนย์กลางการบริโภคขนาดใหญ่ และเชื่อมคนมากกว่า 4,000 ล้านคนทั่วโลกเข้าด้วยกัน เพราะทางจีนเองก็ได้ขยายระบบโครงข่าย Logistics และโครงสร้างเส้นทางทางรางไว้รองรับเรียบร้อยแล้ว สามารถทะลุไปยังเอเชียกลางและทวีปยุโรปได้เลย

เมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่ผ่านมา ประเทศเพื่อนบ้านของเราหลายประเทศ เช่น จีน อินเดีย เกาหลีใต้ เคยเป็นลูกค้ารายใหญ่ของไทย แต่ตอนนี้กำลังจะกลายมาเป็นพ่อค้ารายใหญ่ของไทย ต่อไปอาจจะเป็นประเทศเวียดนาม กัมพูชา ลาว หรือเมียนมา เพราะประเทศดังกล่าวยังมีต้นทุนด้านแรงงานต่ำและทรัพยากรทางธรรมชาติยังมีอยู่มาก ซึ่งตอนนี้มีประเทศบางประเทศที่ร่ำรวยแต่ไม่มีทรัพยากรในประเทศมากนัก ได้ไปลงทุนผลิตสินค้าทางด้านการเกษตรใน 4 ประเทศ ดังกล่าว ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมาผลิตสินค้าด้านเกษตร (GMO) ขายแข่งกับประเทศไทยต่อไปก็ได้ แต่สำหรับมาเลเซียตอนนี้ความเจริญแซงหน้าประเทศไทยไปนานแล้ว

ดังนั้น คลองไทยจึงเป็นความหวังและเป็นโอกาสของประเทศที่จะใช้เป็นธงชัยในการสร้างพลังอำนาจให้ประเทศไทยก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลาง Logistics ทางทะเลในภูมิภาคอาเซียนต่อไป